Beauty is my Passion

Phaptawan

Monday, October 14, 2013

Review : Etude House Precious Mineral BB Cotton Fit


 สวัสดีค่ะทุกคน
ห่างหายกันไปเกือบครึ่งปี นานมากเว่ออออ
ช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่งค่ะ เพราะว่าย้ายมาอยู่ต่างประเทศ
ก็ยุ่งตั้งแต่เรื่องเตรียมเอกสารเรื่อยมาจนเปิดเรียน
บางทีก็พอมีเวลาว่างบ้างแต่ไม่มีฟีลลิ่งในการเขียน
ก็ปล่อยบล็อกร้างหยากไย่ขึ้น มาตั้งหลายเดือน ฮือออออ

แต่วันนี้อารมณ์มันมาค่ะ เลยเอาของที่ถ่ายไว้นานมากแล้วเหมือนกัน
มาเขียนรีวิวซักที เพราะพอย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วก็ได้ซื้อเครื่องสำอางเพิ่มค่อยข้างเยอะ
แต่ว่า แม้แต่รูปก็ยังไม่ได้ถ่ายเลยค่ะ
เก็บกล่องไว้ แต่เปิดใช้ไปก่อน เพราะว่ารอให้วันฤกษ์งามยามดีมีเวลา
จะได้มาถ่ายรูป ทำรีวิวให้ชมกันนะคะ
มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ น่าใช้เยอะเลยค่ะ


เกริ่นซะยาวเอาให้หายคิดถึงกันนิดนึง

มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ!

ผลิตภัณฑ์ที่เราจะรีวิววันนี้ได้แก่...



Etude House Precious Mineral BB Cotton Fit

บีบีครีมจาก Etude ค่ะ



(หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ)


บีบีครีมตัวนี้มีจุดเด่นคือ...
1. ปกปิด
2. ไม่หนา
3. บางเบา ไม่หนักหน้า
4. ควบคุมความมัน
5. ไม่หมองระหว่างวัน
6. เนื้อสัมผัสแห้ง ไม่เหนียวเหนอะหนะ(อันนี้เป็นจุดสำคัญเลยค่ะ)



*หมายเหตุ - ก่อนหน้านี้แพรวมี Etude House BB Bright Fit อยู่แล้ว
แต่ด้วยที่ว่าอากาศเมืองไทยชื้น 
แล้วก็เวลาใช้มีความรู้สึกว่ามันมาผสมกันน้ำมันบนหน้า
เวลาซับหน้าจะมีความรู้สึกอยู่บ่อยๆว่า เอ๊ะ มันหนานะ รู้สึกยังไม่ใช่เท่าไร
เลยไม่ลังเลที่จะลอง Etude House BB Cotton Fit ตัวนี้ค่ะ



(แพรวใช้สี W13 Natural Beige ขาวเหลืองค่ะ เป็นเฉดที่รองลงมาจากขาวแบบสาวเกาหลี)


(เปรียบเทียบขนาดของหลอดกับมือค่ะ หลอดใหญ่มากทีเดียว)




มาลองผลิตภัณฑ์กันค่ะ


(ปริมาณบีบ 1 ปั๊ม 
ค่อนข้างเยอะทีเดียว แนะนำว่าบีบซักทีละครึ่งปั๊มก่อนก็ดีค่ะ
เพราะจะได้ไม่เหลือแล้วต้องทิ้งไป เสียดายค่ะ55)


เนื้อผลิตภัณฑ์ :
ไม่ข้นหนืดและไม่เหลวมากจนเกินไป เกลี่ยง่ายค่ะ



มาทาให้ดูกันค่ะ
(โชว์หน้าเปล่ากันตามเคยค่ะ จะได้เห็นจะจะไปเลย)
เราจะทาซีกซ้าย (<--) กันก่อนนะคะ 
จะได้เห็นความแตกต่างระหว่าทาและไม่ทาค่ะ

(ใช้วิธีแตะบีบีครีมที่หน้า แล้วใช้แปรงเกลี่ยค่ะ)


(ซีกซ้าย(<--)ทาแล้ว ซีกขวา(-->)ยังไม่ได้ทา)

จะเห็นได้ว่า ปกปิดได้ดีจริงๆ แต่สีอาจดูขาวกว่าด้านที่ยังไม่ได้ทาเล็กน้อย
แต่เป็นเรื่องปกติค่ะ เพราะบีบีครีมมักใช้เวลาในการเซ็ตตัว



(ซูมค่ะ ข้างไหนทาแล้ว ไม่ต้องนำสืบ เนียนกว่าหลายเท่า)

(ทาทั้งหน้าแล้วค่ะ เห็นได้ชัดเลยว่าปกปิดดี 
เพราะกระเห็นไม่ชัดเลยถ้าเทียบกับรูปที่ยังไม่ได้ทาด้านบน)


มาดูหน้าที่แต่งแล้วกับแสงด้านนอกกันบ้างนะคะ



(ซูมค่ะ เนียนมาก)


ความคิดเห็นส่วนตัว :
รีวิวบีบีตัวนี้เป็นเรื่องของฟีลลิ่งหลังการใช้ล้วนๆ
โดยส่วนตัวคิดว่าผลลัพธ์ อาจจะไม่ต่างจากตัวที่แพรวซื้อมาก่อนมากนัก
(Etude House BB Bright Fit)
แต่ความรู้สึกเวลาทาลงไปบนหน้ามันสบายหน้ากว่า
คือไม่ได้เบากว่า แต่รู้สึกแห้งกว่า ไม่เยิ้มค่ะ 
เหมือน finishing มันจะออกแห้งๆกว่านิดนึง


ข้อดี :
- ราคาไม่แพงมากจนเกินไป(ซื้อจากเว็บอยู่ที่ราว 500 บาทค่ะ)
- เกลี่ยง่าย
- ปกปิดจุดด่างดำได้ดี
- บีบีครีม มีคุณสมบัติ ครอบคลุม ตั้งแต่ moisturizer, กันแดด, รองพื้น
ถ้าขี้เกียจๆก็เรียกได้ว่าตัวเดียวอยู่ 
ไม่ต้องลงบำรุงก่อน รวบสเต็ปเลยทุกอย่างในหนึ่งเดียว
- ไม่เหนอะหนะ(อันนี้ชอบมาก)
- เรื่องการควบคุมความมัน คิดว่าโอเคเลย
หน้าไม่มันเพิ่ม ไม่มันเยิ้ม เอาทิชชู่ซับๆก็ไปต่อได้ทั้งวันแล้วค่ะ
(แพรวผิวผสมค่ะ ทีโซนมัน ด้านข้างธรรมดา)


ข้อเสีย :
- ไม่เผยผิวเท่าไร ด้วยความที่ปกปิดค่อนข้างสูง
แทนที่จะได้ลุคใสๆ ก็จะได้หน้าเนียนๆแทน
(ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะคะ
แต่จริงๆแล้วถ้าวันไหนอยากเป็นธรรมชาติ 
แพรวชอบผิวแบบตัวนี้ที่รีวิวมากกว่าค่ะ)

Shu Uemura Tsuya Skin UV Under Base Youthful Radiance Mousse

และ

- ปั๊มนึงปริมาณมากเกินไปหน่อยสำหรับการทาหนึ่งหน้า 
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ตัวนี้ปกปิดมาก ควรระวังมือ เรื่องการทา 
ความหนาเป็นเรื่องที่ต้องระวังเวลาทาพวกรองพื้นและบีบีค่ะ
เพราะจากสวยใสจะกลายเป็นหนาะเตอะได้นะคะ




สรุป :
เป็นบีบีที่ดีเลยค่ะ ใช้ง่าย ราคาสบายกระเป๋า
เก๋กู้ด หลอดใหญ่ ใช้ได้นานอีกต่างหาก
แถมแพรวว่าเหมาะกับอากาศชื้นๆที่เมืองไทยอีกด้วยค่ะ



แล้วพบกันใหม่ค่ะ
มีผลิตภัณฑ์ดองไว้อีกเพียบเลยค่ะ หุหุ



Share:

Wednesday, July 10, 2013

Review : CANMAKE Cream Cheek ปัดแก้มเนื้อครีม



สวัสดีค่ะทุกคน
นานๆโผล่มาพบเจอกันที55
วันนี้เรามีรีวิวมาให้รับชมกันค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เราจะมารีวิวกันในวันนี้ก็คือ...

"Canmake Cream Cheek"
ที่ปัดแก้มเนื้อครีมนั่นเองค่ะ

(หน้าตาแบบนี้)

เชื่อว่าหลายคนเคยเห็นอยู่แล้วค่ะ
เพราะเครื่องสำอางแบรนด์นี้มีขายในเมืองไทยมาพักใหญ่มากแล้ว
แต่คิดว่าหลายๆคนคงเป็นแบบแพรวที่ไม่กล้าใช้บลัชออนเนื้อครีม
เพราะคิดว่าใช้ยากรึเปล่า จะเหนอะหนะมั้ย
แต่ด้วยสีสันที่สวย และราคาไม่แพง 
(ประมาณ 580 เยนนะคะถ้าจำไม่ผิด ซื้อมาตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นค่ะ
คิดเป็นเงินไทยก็คงซักราว180บาทค่ะ)
เลยรู้สึกโอเคที่จะซื้อมาลอง5555

แพรวซื้อมาแค่สองสีค่ะ ทั้งๆที่สีมันละลานตาไปหมด
แต่ซื้อมาเฉพาะสีที่คิดว่า"ได้ใช้แน่ๆ" แล้วก็ไม่ใกล้เคียงกันมากไปนัก
เลือกมาสองสีค่ะ คือ 05 เป็นสีพีชๆ ชมพูอมส้มนิดๆ
แล้วก็ CL01 คิดว่าเป็นสีใหม่นะคะ เป็นสีแดงสดค่ะ


(ซื้อมาสองสีค่ะ สี 05 กับ สีCL01)


(ใช้นิ้วแตะจากตลับแล้วป้ายที่แขน)

(ใช้นิ้วเกลี่ยค่ะ)



มาเริ่มที่สีแรกก่อน คือ CL01 สีแดงค่ะ

(แดงใสๆ เหมือนเยลลี่55)


วิธีการใช้บลัชเนื้อครีมของเรานะคะ  ก็คือ...

1. ตักมาเกลี่ยที่หลังมือก่อน

2. ใช้แปรงแตะ

3. เกลี่ยลงไปบนแก้ม แล้วค่อยๆซ้ำจนกว่าจะได้ความเข้มที่พอใจค่ะ

ที่ทาแบบนี้เพราะว่ากันพลาด มือลั่น เวลาเรามาค่อยๆเติม
มันง่ายกว่าตอนมาลบออกเพราะแดงไปมากนะคะ5555

เสร็จแล้วจะเห็นว่า แดงใสมาก แก้มสีระเรื่อมากค่ะ

(ซ้ายทา-ขวาไม่ทา)

(ดูใกล้ๆค่ะ)


---------------------------------------------


 ต่อมาก็สี 05 ค่ะ เป็นสีพีช


(สีชมพูอมส้มค่ะ)


(ทาแล้วเป็นแบบนี้ค่ะ)

(ทาที่แก้มทั้งสองข้างเลยค่ะ)


ข้อดี :
- ราคาไม่แพง
(ถ้าซื้อที่เมืองไทยราคาอาจเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัว แต่ก็ถือว่าไม่แพงอยู่ดี)
- มีสีให้เลือกเยอะมาก
- สีน่ารักมากๆ
- ได้ลุคใสๆ ธรรมชาติๆ
- ใช้ง่าย เกลี่ยง่าย ไม่ต้องกลัวมือลั่น เพราะสีไม่แรง

ข้อเสีย :
- สีไม่ชัดเจน(ด้วยความที่สีใสๆ บางทีทาแป้งทับไปก็ดูไม่ออกว่านี่ปัดแก้มแล้ว)
- สีมีเยอะจริงแต่ใกล้เคียงกันไปหน่อย
- เนื้อเป็นครีมๆ มีความลื่นๆมันๆอยู่ ทำให้ไม่กล้าลองทาทับเมกอัพระหว่างวัน
- อาจต้องปัดแก้มแบบฝุ่นทับอีกทีถ้าอยากให้สีชัดติดทนนาน

สรุป :
เป็นปัดแก้มที่เหมาะสำหรับวันที่อยากได้ลุคใสๆน่ารักๆ
ใช้ง่าย แต่ถ้าเป็นผชก็ยังไม่กล้าเรียกว่าคนนี้เป็น"ตัวจริง"5555



แล้วพบกันใหม่ค่ะ






Share:

Saturday, June 8, 2013

How to : Silver and Black Smokey Eye


สวัสดีค่ะทุกคน
เป็นไงกันบ้างคะ สบายดีกันมั้ย
หวังว่ายังคงไม่ลืมกันนะคะ55

วันนี้เรานำ How to มานำเสนอ หลังจากที่ดองมานานมาก
ว่าจะตัดๆ แต่ก็ไม่มีอารมณ์ตัดซักที
พอดีเมื่อวานมีเวลาว่าง เลยลงมือตัดจริงจัง 
เอาแบบรวดเดียวจบออกมาให้ได้ติดตามรับชมกันค่ะ


วิดีโอนี้จะเป็นการแต่งตาแบบเข้มๆ เอาให้ไปปาร์ตี้ได้55
ตาจะโดดเด่นสุดกว่าทุกส่วนบนใบหน้าเลยค่ะ
สีที่เราเลือกใช้ครั้งนี้ก็เป็นสี ดำ เงิน ออกเทาๆเป็นหลัก
แล้วก็ให้ส่วนอื่นๆบนใบหน้าดูเบาๆ 

อันนี้ upload เป็น HD ด้วย
หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ :D

ไปดูกันได้ใน youtube ตาม link นี้เลยค่ะ http://youtu.be/Qh7R4McaQ_M



แต่งเสร็จแล้วออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ









ขอบคุณที่ติดตามรับชมค่ะ 
แล้วพบกันใหม่ค่าาา ;D




Share:

Sunday, April 28, 2013

Review : YSL Le Teint Touche Éclat Compact


สวัสดีค่ะทุกคน :D
สบายดีกันมั้ยคะ

วันนี้เรามีรีวิวมานำเสนอค่ะ(ต่อจากคราวที่แล้วที่ติดไว้)
คราวนี้เป็นเป็นแป้งผสมรองพื้น Le Teint Touche Éclat Compact ค่ะ

จริงๆแล้วเราเป็นแฟนของแป้งผสมรองพื้นอยู่แล้วค่ะ
ส่วนมากของการแต่งหน้าประจำวันก็จะใช้แค่แป้งฝุ่นแล้วก็แป้งผสมรองพื้น
เพราะว่าสะดวก ใช้ง่าย แล้วก็สบายผิวค่ะ :D
แบบปัดๆ ก็ได้ผิวสวยแล้ว ไม่ต้องมาบรรจงเกลี่ย
เพราะแค่นี้แต่ละวันก็ใช้เวลาแต่งหน้านานพอแล้ว5555


เอาล่ะ! เรามาเริ่มกันเลยนะคะ



Le Teint Touche Éclat Compact SPF35
(เลอ แตง ทุช เอคลา คอมแพค)




แป้งผสมรองพื้นรุ่นนี้เค้ามีคำจำกัดความไว้ว่า
"ILLUMINATING POWDER FOUNDATION – DIMENSIONAL RADIANCE – SOPHISTICATED FINISH"
คือเป็นแป้งผสมรองพื้นที่มอบความสว่างกระจ่างใส ให้ผิวดูเปล่งประกายอย่างมีมิติ ให้ผิวดูสวยค่ะ
แป้งผสมรองพื้นรุ่นนี้เค้าจะออกมาคู่กับรองพื้นชนิด liquid อีกตัว
ที่ชื่อว่า Le Teint Touche Éclat UV โดยที่รองพื้นรุ่นนี้จะ
เป็นสูตรที่พัฒนามาให้เหมาะกับทั้งสภาพผิวและอากาศของโซนเอเชียโดยเฉพาะค่ะ
ก็คือจะเหมาะกับผิวมันแล้วก็ทนต่ออากาศชื้นๆได้ดีนั่นเองค่ะ

(รูปคู่รองพื้นทั้งสองแบบที่ว่า ที่มา)


(รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ค่ะ อยากอ่านใหญ่ๆ คลิกที่รูปเลยค่ะ)



แป้งผสมรองพื้นชิ้นนี้ก็ขายแยกรีฟิลกับตลับค่ะ

(รีฟิล 1850 บาท ตลับ 650 บาท)


(เราใช้สี B30 ค่ะ)

(ซูมให้ดูแป้งใกล้ๆ เนื้อแป้งละเอียดมากๆ)


(ตลับจะมีซองกำมะหยี่สีดำใส่มาให้)


(ด้านนอก สีทองสวยงาม น้ำหนักเบามากด้วย)

(ด้านในค่ะ)



มาลองผลิตภัณฑ์ให้ดูกันเลยดีกว่า

รูปทั้งหมดไม่ได้ปรับแต่งใดๆนะคะ ถ่ายด้วยกล้องหน้า iPhone5ค่ะ
ถ้าอยากดูรูปใชัดๆใหญ่ๆ คลิกที่รูปนะคะ


(หน้า before ลงทุช เอคลา แล้วก็แป้งฝุ่นเรียบร้อยนะคะ
 ถ่ายรูปทำรีวิวกับฮาวทูต่อกันเลยค่ะ ประหยัดเวลา555)

(ซูมให้ดูใกล้ๆค่ะว่าผิวก่อนทาเป็นยังไง)

(เราลงแป้งหน้าด้านซ้ายมือ(ที่มีแปรงแตะอยู่) อีกด้านยังไม่ได้ลงนะคะ
หน้าข้าวที่ลงแป้งผสมรองพื้นแล้วจะสะท้อนแล้วก็กระจายแสงได้ดีกว่าค่ะ
แล้วก็ดูเนียนใสกว่าด้วย)

(หน้าที่ทาแล้วทั้งหน้าค่ะ แต่ยังไม่เซ็ตดีนะคะ จะเห็นได้ว่าขาวนิดหน่อย)


 เวลาผ่านไปประมาณ 3-4 ชม.
(แต่งหน้าเต็มอัดวิดีโอฮาวทูค่ะ ตอนนี้ยังตัดไม่เสร็จเลย ฮืออออ)


(ไม่ได้ลงแป้งเพิ่ม ไม่ได้ซับหน้าค่ะ)

(ซูมค่ะ ว่าทาแล้วเป็นยังไง)




(เปรียบเทียบให้ดูชัดๆนะคะ ข้างบนทีละรูปอาจเห็นไม่ชัด 
ล่างทาแล้ว บนยังไม่ได้ทาค่ะ เอามาจับคู่กันให้ดูเลย
ความแตกต่าง ชัดเจนค่ะ)




ข้อดี :
- ทาแล้วผิวสวยโดยที่ผิวยังดูเป็นผิวอยู่ เป็นธรรมชาติ
- ทาแล้วไม่ดูแป้งๆ หน้าดูมีมิติอย่างที่เค้าเคลม ไม่แบน
- เนื้อแป้งละเอียดมาก เบา สบายผิว ใช้แปรงทาสองเลเยอร์ทั้งหน้าก็ไม่ดูโบ๊ะ
- ริ้วรอยจุดด่างดำต่างๆถูกพรางไปด้วยการกระจายแสง แทนที่จะปิดหนาๆ(อันนี้ชอบมาก)
- ด้วยความที่เนื้อแป้งเบา ละเอียด ทาทับ ทัชอัพระหว่างวันได้สวยมาก ไม่เป็นคราบ
ได้ผิวหน้าเหมือนเพิ่งแต่งหน้าเสร็จใหม่ๆ
(แต่ทั้งนี้ต้องให้แน่ในด้วยว่าซับคามมันส่วนเกินออกไปเป็นอย่างดีแล้วนะคะ)


ข้อเสีย :
ไม่ปกปิดมากนัก อย่างกรณีบนหน้าเราก็ปิดกระไม่มิดนะคะ
แต่โดยส่วนตัวคิดว่ารอยต่างๆดูจางลงค่ะ เพราะแป้งกระจายแสงได้ดี
สำหรับคนที่อยากปกปิดผิวเยอะๆเพราะมีปัญหาหรือริ้วรอยจุดด่างดำมากเนี่ย
ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ชิ้นเดียวอาจจะเอาไม่อยู่ เพราะอย่างที่บอกไปว่า
เน้นกระจายแสงและเนื้อบางเบา อาจต้องใช้รองพื้นแบบลิควิดหรือครีมเข้ามา
บวกกับคอนซีลเลอร์ ประมาณนี้ค่ะ ถึงจะเนียนกริบ


สรุป :
ประทับใจมากๆค่ะ พอเช็ตตัวแล้วผสมกับน้ำมันในผิวนิดหน่อยแล้วสวยมาก
เป็นแป้งผสมรองพื้นที่ทาแล้วได้ผิวเป็นผิว คือ ดูเป็นธรรมชาติ
แต่เนียนสวย ไม่แมทมากนัก ให้ผิวดูสวย แล้วก็มีมิติค่ะ
(ลองเลื่อนกลับไปดูรูปเปรียบเทียบดูได้ค่ะ ปลื้ม55)



ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
เราเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น หอบมีผลิตภัณฑ์กลับมาเยอะมาก
ตั้งใจว่าจะทำรีวิวทุกชิ้นให้ทุกคนได้อ่านกันเป็นข้อมูล
ซึ่งลิสต์ยาวมาก ประมาณ 30+ รายการได้55
จะพยายามเขียนมาให้ได้อ่านกันให้ได้เลยค่ะ
เอาใจช่วยด้วยนะคะ
(ตอนนี้เอาใช่ช่วยให้ตัดวิดีโอฮาวทูให้เสร็จซักทีก่อนจะดีกว่าค่ะ อุอุ)


แล้วพบกันใหม่เอ็นทรี่หน้าค่ะ




Share:

Sunday, April 7, 2013

Review : YSL Touche Éclat



สวัสดีค่ะทุกคน
เป็นไงกันบ้างคะ สบายดีรึเปล่า

เรารู้สึกว่าตัวเองหายไปนานมากจากการเขียนบล็อก
ยังจำ แพรว mesummerkisses กันได้รึเปล่าคะ55

เพิ่งเริ่มทำงานค่ะ เลยไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แต่่ก็ยังตั้งใจว่ายังไงจะไม่ปล่อยให้บล็อกร้างใยแมงมุมขึ้นแน่นอน555

วันนี้เราก็จะมารีวิวผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่สดๆร้อนๆ
Yves Saint Laurent ค่ะ
จริงๆแล้วเราเปิด Member มาเรียบร้อยแล้วด้วยยอดซื้อ 5300 บาท

สิ่งที่ได้มาก็คือ
1. Touche Éclat #2.5 ปากกาไฮไลต์
2. Mascara Volume Effet Faux Cils WP #1(สีดำ)
3. ตลับแป้งผสมรองพื้น
4. Le Teint Touche Éclat Compact #B30 แป้งผสมรองพื้น


(ภาพหมู่ค่ะ เรียงตามลำดับข้างบนเลยค่ะ จากซ้ายไปขวา)

(ใบเสร็จ แลกพ้อยต์ the1card 40 พ้อยต์ ลดได้ 10% เหลือประมาณ 4700 นิดๆ)


วันนี้ที่เราจะเอามารีวิวให้รัับชม ก็คือ ปากกาไฮไลต์ Touche Éclat
iconic product ของ YSL นั่นเองค่ะ
(เดี๋ยวชิ้นที่เหลือจะทยอยตามมานะคะ ไม่อยากให้ยาวเกินไป กลัวเบื่อกันซะก่อนค่ะ)


มาเริ่มกันเลยนะคะ ;)

Touche Éclat (ทุช เอคลา)




(กล่องสีทองสวยงามแสบตา55)

เชื่อว่าหลายคนรู้จักกันมานานแล้วในฐานะที่ว่าเป็น concealer ใต้ตา
อย่างเราเองก็เคยใช้มาก่อนสมัยอยู่ม.ปลาย
ตอนนั้น จำได้ว่าทุช เอคลา มีให้เลือกแค่สามสี
คือ เบอร์ 1, 2 แล้วก็ 3 และทุกโทนสีที่มีให้เลือกนั้น ออกชมพูหมดเลย
ตอนนั้นเราซื้อเบอร์ 2 มาใช้ แต่ด้วยความที่เป็นคน undertone เหลือง
เลยรู้สึกว่าพอทาแล้วลอยๆ ไม่กลมกลืนกับผิวอย่างที่คิด
พอใช้หมดหลังจากนั้นก็ขาดสัมพันธ์กับ ทุช เอคลาไป
แต่พอเคาน์เตอร์มาเปิดใหม่ เค้าได้เอาสีใหม่พวกที่ลงท้ายด้วย .5
ที่เป็นสีอมเหลืองเข้ามาด้วยซึ่งดีต่อคนผิวโทนเหลืองมากๆ
เพราะเข้ากะผิวได้ง่าย ไม่ลอยค่ะ

(เราซื้อสี 2.5 มาค่ะ ชื่อสี Luminous Vanilla)

(เอกสารประกอบการใช้ที่ใส่มาในกล่องค่ะ)

(ดูเบอร์ที่ตรงก้นสีดำนะคะ)

(เปิดปอกออกมาแล้วเป็นหัวพู่กันแบบนี้ค่ะ
เวลาใช้ต้องกดปุ่มตรงก้นซักประมาณ30+ครั้งก่อน
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาที่ปลายพู่กันก่อนนะคะ)

รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ :
The beauty secret of the world's top makeup artists and models, 
Touche Éclat is the original must-have for a radiant, flawless face.

Capture 8 hours of sleep with the click of a pen. 
With a few strategic strokes of this award-winning complexion highlighter—dark circles, 
fine lines and signs of fatigue virtually disappear. 
Powered by the radiance-boosting Luminocaptide Complex, 
skin is instantly illuminated, so you look rested and refreshed
—even if you’ve been up for hours. Sleek and sophisticated, it discretely 
slips into a makeup bag for quick touch-ups anytime. 
It’s the one beauty essential no woman should ever be without.


คือ จริงๆแล้วทุชเอคลาไม่ได้เป็นแค่คอนซีลเลอร์ใต้ตา
แต่ยังสามารถใช้กับส่วนอื่นบนใบหน้าได้ในฐานะ hilighter รูปแบบปากกา
อยากให้ตรงไหนดูโดดเด่นขึ้นมาก็สามารถทาแล้วเกลี่ยลงไปบริเวณนั้นได้เลย
จะทำให้ผิวส่วนนั้นดูกระจ่างขึ้น ดูสว่างสดใสขึ้นค่ะ


มาดูเนื้อผลิตภัณฑ์กันค่ะ

(ปาดลงไปจากบริมาณ 1 คลิก)

(เกลี่ยลงไปให้กลืนกับผิวแล้ว)

ทุช เอคลา จะเป็นเนื้อครีม ไม่มัน ไม่เหนียว ไม่หนัก และแห้งค่อนข้างไว
เม็ดสีไม่หนา ไม่เน้นการปกปิด แต่ว่าจะเน้นการกระจายแสง
ให้ผิวบริเวณที่ทาดูสว่างขึ้น แทนที่จะไปกลบให้หนาจนปิดมิดนั่นเองค่ะ


ทาบนมืออาจไม่เห็นความแตกต่าง
เราก็ขอแสดงความจริงใจ โดยการพลีหน้าเปลือย55
 ให้ดูกันชัดๆไปเลยเหมือนเดิมค่ะ :D
(มาดูรูปแล้วรู้สึกว่าหน้าโหดนิดนึง ลืมยิ้มอ้ะ555)


(หน้าเปลือยเปล่ามีแค่กันแดด 1 ชั้น 
รอยคล้ำใต้ตาชัดเจน ไม่ต้องออกแรงเพ่ง เด่นมาก555)


 
(ทา ทุช เอคลาลงไป ใต้ตาหนึ่งข้าง ใช้ปริมาณ 1 คลิกเท่านั้นค่ะ
แล้วจะใช้นิ้วหรือแปรงเกลี่ยก็ตามถนัด ของเราใช้แปรงขนาดเล็กค่ะ)


(ซูมให้ดูกันค่ะ เห็นความแตกต่างมั้ยคะ 
ด้านซ้ายที่ทาแล้ว กับด้านขวาที่ยังไม่ได้ทา
ความต่างชัดเจนมากนะ แต่สีดูเป็นธรรมชาติมากๆ
เหมือนข้างที่ทาเป็นสีผิวเราจริงแต่ไม่หมอง)


(อันนี้เป็นท่าสูตร555 ทาลงไปบริเวณที่เป็นจุดไฮไลต์ค่ะ แล้วเกลี่ย)

(เกลี่ยออกมาแล้วเป็นแบบนี้นะ หน้าดูสว่างขึ้นโดยดูเป็นธรรมชาติ
ดูไม่โบ๊ะหนา ไม่ขาวหลอก)


สรุป :
ตามความเห็นส่วนตัวนะคะ คิดว่าเป็น hilighter ที่ดีมากตัวนึงเลยนะ
 เพราะเนื้อโปร่ง แล้วก็ช่วยในเรื่องของการกระจายแสงได้ดี 
ด้วยความที่โปร่งจึงทำให้ blend กับผิวไปได้ง่าย แต่ก็ทิ้งความสว่างไว้
ทำให้ใบหน้าดูสว่างสดชื่นขึ้นมาได้แบบเนียนเป็นธรรมชาติมากๆจริงๆ

ข้อดี :
เป็นธรรมชาติ ใช้ง่าย เบา สบาย ทำให้หน้าสว่างขึ้นจริง
หากใช้สีที่เข้ากับตัวเองก็จะรู้เลยว่าทำไมถึงเป็น
 iconic product ของ YSL มาได้ถึง 20 ปี เพราะเป็นเหมือนการเพิ่มแสงให้กับใบหน้า
โดยที่ยังเห็นผิวจริงของเราอยู่ แต่ตรงที่ทานั้นสว่างสดใสขึ้นมาจริงๆ

ข้อเสีย :
ไม่ปกปิด เพราะเนื้อบางเบาและเม็ดสีไม่หนัก
หากต้องการการปกปิดชนิดที่ว่า มิดชิด กลบรอยดำสิว เอาให้อยู่
ทุช เอคลา ไม่สามารถค่ะ ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์แบบเนื้อครีมแทน



ข้อเสนอแนะ :
จากการใช้จริงนะคะ
สำหรับวันไหนที่ไม่แต่งหน้าก็อาจจะแค่ทากันแดด
แล้วตามด้วย ทุช เอคลาตรงบริเวณที่หมองคล้ำ หรือไม่ก็แค่ใต้ตา
แล้วอาจเติมทิ้นต์นิดหน่อย ก็ออกไปไหนมาไหนได้สบายละ
ให้ลุคสวยธรรมชาติ อาจไม่ได้สวยมากเหมือนแต่งหน้า แต่ก็ไม่ดูโทรมแน่นอน
ถ้าปกติแต่งหน้าทารองพื้นก็ให้ทาทุชเอคลาหลังทารองพื้นได้เลยค่ะ
 เหมือนการใช้ไฮไลต์ทั่วไป

เรื่องเป็นคราบก็ไม่มีมากวนใจนะคะ จากการที่ได้ใช้มา
เพราะสามารถทาแล้วก็จบได้เลย ไม่ต้องเซ็ตด้วยด้วยแป้งใดๆ
เพราะอย่างที่บอกด้านบน คือ เนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างแห้งเร็ว
ก็จะไม่เยิ้มอยู่แล้ว แต่ถ้าหน้ามันมากเว่อ 
อันนี้ก็อาจต้องตบแป้งช่วย ตามปกติค่ะ

และอย่างที่บอกว่าเนื้อบางเบานะคะ
จริงๆแล้ว ทุช เอคลา สามารถลงทับเมกอัพได้เลย
เช่น ทาแป้ง ทารองพื้นมาแล้ว แล้วอยากทัชอัพให้เมกอัพสวย หน้าดูสดใส
ก็อาจใช้ทิชชู่ซับความมันออกก่อน แล้วทาทุชเอคลาลงไป
แล้วเกลี่ยค่ะ ในที่นี้อาจลงเพิ่มบริเวณใต้ตา หรือส่วนอื่นๆได้เลย
แต่ทั้งนี้ ก็มีข้อควรระวังนะคะ คือ ถ้าผิวแห้งมากๆ(เช่น ทานยาต้านสิว เป็นต้น)เนี่ย
ก็อาจเกลี่ยไม่ไปได้ แต่ถ้าหากผิวมัน ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ
เกลี่ยง่าย ลื่น เนียน แน่นอน55 
แล้วก็ที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือหน้าแต่งมาแน่นมากหนามากค่ะ
นั่นก็อาจเกลี่ยยาก เกลี่ยไม่ไปได้เหมือนกัน



อ่านกันมาถึงตรงนี้ ต้องขอขอบคุณที่ติดตามรับชมกันนะคะ
รู้ว่าเป็นคนเขียนอะไรสั้นๆไม่ค่อยได้นะ55
เพราะอยากให้รู้ข้อมูลกันแบบละเอียดๆจริงๆ
หวังว่าคงชอบกันนะคะ

ปล. ขอติดรีวิว แป้งผสมรองพื้น Le Teint Touche Éclat Compact
กับ Mascara Volume Effet Faux Cils WP อยู่อีกสองรีวิวไว้ก่อนนะคะ
จะรีบเขียนตามมาให้ได้อ่านกันแน่นอนค่ะ


แล้วพบกันใหม่นะคะทุกคน ;)







Share:
Blog Design Created by pipdig